Surgery
การเสริมร่องแก้มคือหัตถการเพื่อเติมเต็มร่องลึกข้างจมูก-มุมปาก ช่วยให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ สดใส และลดความโทรม เห็นผลชัดเจนทันที
การเสริมร่องแก้ม (Nasolabial Fold Correction) คือหัตถการเพื่อเติมเต็มร่องลึกบริเวณข้างจมูกถึงมุมปาก ซึ่งเป็นจุดที่ทำให้ใบหน้าดูเหนื่อยล้า แก่ก่อนวัย และไม่สดใส โดยสามารถใช้ฟิลเลอร์หรือไขมันตัวเองในการเสริม เพื่อให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์และเรียบเนียนขึ้น
อายุที่เพิ่มขึ้น ทำให้คอลลาเจนลดลง
ไขมันบนใบหน้าหายไป ผิวขาดความยืดหยุ่น
โครงสร้างกระดูกใบหน้าที่แบน หรือยุบตัว
น้ำหนักลดเร็วเกินไป
พฤติกรรม เช่น นอนตะแคงบ่อย ยิ้มแรงเป็นประจำ
ฉีดสารเติมเต็ม Hyaluronic Acid เข้าบริเวณร่องลึก
ข้อดี: เห็นผลทันที, ไม่ต้องพักฟื้น, ใช้เวลาน้อย
ระยะเวลาอยู่ได้: 12–18 เดือน (แล้วแต่ยี่ห้อฟิลเลอร์)
ดูดไขมันจากต้นขาหรือหน้าท้องมาปั่นและฉีดเข้าใบหน้า
ข้อดี: ใช้เซลล์ของตัวเอง ปลอดภัย ติดทนนาน
ข้อเสีย: มีระยะเวลาพักฟื้นนานกว่าฟิลเลอร์
✔ หน้าเด็กลง ดูสดใสขึ้น
✔ ผิวบริเวณแก้มเรียบเนียน
✔ ใบหน้าดูอ่อนโยน ไม่โทรม
✔ เติมเต็มโครงสร้างใบหน้าอย่างเป็นธรรมชาติ
✔ เสริมความมั่นใจทั้งในชีวิตประจำวันและการถ่ายรูป
ปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินปัญหา
เลือกวิธีการที่เหมาะสม (ฟิลเลอร์หรือไขมัน)
ทำความสะอาดใบหน้า และฉีดยาชาเฉพาะจุด
ฉีดฟิลเลอร์หรือไขมันในปริมาณที่เหมาะสม
ตรวจผลลัพธ์ และแนะนำการดูแลหลังทำ
หลีกเลี่ยงการนวดหรือกดแรง ๆ บริเวณที่ฉีด
งดดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ 1-3 วัน
หลีกเลี่ยงแสงแดดจัด และอบซาวน่า
ดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อช่วยให้ฟิลเลอร์คงตัวดีขึ้น
หากมีอาการบวมแดงเล็กน้อยถือว่าเป็นปกติ จะหายภายใน 1-2 วัน
ผู้ที่มีร่องแก้มลึก ทำให้หน้าดูเหนื่อย โทรม
ผู้ที่ต้องการให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ขึ้นโดยไม่ผ่าตัด
ผู้ที่มีโครงสร้างแก้มแบน หรือกระดูกใต้ตาหยุบตัว
ผู้ที่เคยฉีดฟิลเลอร์และต้องการเติมซ้ำ
Q: เติมร่องแก้มเจ็บไหม?
A: แทบไม่เจ็บ เพราะใช้ยาชาช่วย และเข็มที่ใช้มีขนาดเล็กมาก
Q: ต้องพักฟื้นนานไหม?
A: ไม่จำเป็นต้องพักฟื้น สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติหลังทำ
Q: อยู่ได้นานแค่ไหน?
A: ฟิลเลอร์อยู่ได้ประมาณ 1 ปี ส่วนไขมันตัวเองอาจอยู่ได้ 2–3 ปี ขึ้นอยู่กับการดูแล
Q: จะดูไม่ธรรมชาติไหม?
A: หากฉีดโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ จะดูเนียนและกลมกลืนมาก
การเสริมร่องแก้มเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยและเห็นผลชัดเจนในการลดอายุผิวหน้า โดยสามารถเลือกใช้ได้ทั้งฟิลเลอร์หรือไขมันตัวเอง ซึ่งทั้งสองวิธีต่างมีข้อดีและความเหมาะสมแตกต่างกัน การปรึกษาแพทย์เฉพาะทางจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพื่อให้ผลลัพธ์เป็นธรรมชาติและปลอดภัย